คู่มือคือสิ่งสำคัญ

คู่มือคือสิ่งสำคัญ



            วันนี้มีโอกาสเข้าไปกราบนมัสการพระอาจารย์จากต่างประเทศ ช่วงนี้ ต้องรีบหาจังหวะเข้าไปสนทนากับท่าน เนื่องจากท่านใกล้จะเดินทางกลับวัด ของท่านแล้ว สงสัยคงจะคิดถึงหิมะเต็มทน เห็นว่าสมาชิกที่วัดส่งภาพมาให้ดู หิมะขาวโพลนเต็มพื้นที่วัดเลย  และทราบความลับสำคัญว่าท่านชอบฉันพวก เส้นๆ เลยถือโอกาส ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาถวายพร้อมตะเกียบหนึ่งคู่ 
            ไม่น่าเชื่อเพียง แค่เห็นตะเกียบ ตาท่านเป็นประกาย ผมก็นึกในใจ สงสัยท่านชอบจริงๆจังๆนะนี่ ที่ไหนได้ ท่านพลิกตะเกียบไปมา ดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน พลิกซ้ายพลิกขวา ยังกะจะทำงานวิจัย แล้วถามผมว่า เขาไม่มีคู่มือการใช้ตะเกียบเหรอ ผมมองหน้าท่าน ก่อนที่จะขำ
ออกมาก๊ากใหญ่ แบบลืมสำรวมไปเลย ท่าน ใครที่ไหนเขาจะทำคู่มือการใช้ตะเกียบ ท่านตบเข่าฉาด (โชคดีที่ท่านตบเข่า) พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า นี่ไง นี่แหละ ไอ้ตัวปัญหา ผมก็งง แล้วตะเกียบเนี่ยนะ คือ ตัวปัญหา ท่านบอกว่า ไม่ใช่ตะเกียบ แต่คือ วัฒนธรรมของคนไทยเราไง ท่านขยายความว่า รู้ไหม ที่อเมริกา ทุกอย่างของเขาต้องมีคู่มือ แม้แต่ตะเกียบจะมีคู่มือการใช้ พร้อมภาพประกอบ ติดอยู่ในซองใส่ตะเกียบ อุปกรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านช่อง จะต้องมีคู่มือ ผมก็งง ท่านกำลังจะบอกอะไร ท่านคงเห็นหน้าผมงงๆ เลยขยายความต่อว่า เพราะการที่เขาถูกฝึกให้อ่านคู่มือกับของทุกอย่าง ทำให้เกิดวัฒนธรรมคือ การทำอะไรเป็นขั้น       เป็นตอน ทำอะไรมีหลักมีการ มีกฎมีเกณฑ์


            แล้วท่านก็สรุปทิ้งท้ายว่า ก็เพราะคนไทยเราไม่ได้ฝึกอย่างนั้น ทำให้เรา ไม่มีอัธยาศัย ในการศึกษาอะไรจริงจัง ไม่ศึกษาหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง แต่จะใช้ อารมณ์ ใช้ความรู้สึกเข้ามาวัด เลยทำให้เกิดวินิจฉัยที่ผิดๆ เอาได้ง่ายๆ นึกจะทำอะไรก็ทำ พอจะนึกออกหรือยังว่า ทำไม เรื่องของหลวงพ่อที่มันไม่จบ ก็เพราะคน ไม่ยึดหลักการ จะเอาหลักกู เอาความพอใจของตนเป็นที่ตั้ง  ทั้งที่ไม่ว่าโดยกฎหมายหรือพระธรรมวินัยมันจบไปแล้ว กรรมการมหาเถรสมาคม แต่ละรูป ล้วนแล้วแต่ผ่านร้อนผ่านหนาว ศึกษาพระธรรมวินัยจนทะลุปรุโปร่ง ท่านวินิจฉัยด้วยความรอบคอบ แต่ฝ่ายที่ไม่ศึกษาวินัยเลย กลับจะมาชี้ความผิดของพระ ทั้งที่ตนเองศีลห้า
ยังไม่ครบ นี่แหละสังคมไทย
            เป็นไงหล่ะพระอาจารย์ผม แค่ตะเกียบยังเอามาเข้าประเด็นฮิตฮอตได้


Cr.อนาคาริก


คู่มือคือสิ่งสำคัญ คู่มือคือสิ่งสำคัญ Reviewed by asabha072 on 11:50 PM Rating: 5

No comments:

Powered by Blogger.