อิทธิพลของโซเชียล
อิทธิพลของโซเชี่ยล
เรื่องราวใดๆก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ไม่เป็นที่สนใจของผู้คน ไม่นาน
เรื่องราวนั้นก็จะหายไปแทบจะไม่อยู่ในความทรงจำของใคร
ตรงกันข้าม
หากเรื่องนั้นๆเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้คน
เรื่องราวนั้นก็จะถูก
บันทึกไว้เป็นเหตุการณ์สำคัญ แม้เวลาผ่านไปนานแสนนาน
เรื่องนั้นก็จะ
ยังอยู่ในความทรงจำเสมอ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวัดพระธรรมกายในวันนี้
นับว่าเป็นเรื่องที่ อยู่ในความสนใจของผู้คนในวงกว้าง
เนื่องจากนอกจากจะเป็นวัดที่มี สาธุชนมาปฏิบัติธรรมมาก มีวิธีการจัดการสมัยใหม่
เรื่องราวยังเกิดขึ้น ในยุคแห่งการสื่อสารอีกด้วย
จึงเป็นปัจจัยให้ข้อมูลต่างๆถูกกระจาย
ออกไปอย่างรวดเร็ว
หากจะถามว่าในสมัยพุทธกาลเคยมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับโซเชี่ยลบ้างไหม
ก็คงจะบอกได้ว่ามี แต่เกิดขึ้นในวงแคบ และสามารถจัดการ ให้จบได้ภายใน เวลาอันสั้น ขอยกตัวอย่างบุคคลผู้หนึ่ง
ที่หาก เอ่ยนามบุคคลนี้ขึ้นมา
ก็คงพอจะนึกเรื่องราวออก ใช่ครับ
ผมกำลังจะพูดถึงเรื่องของนางจิญจมาณวิกา
ว่าไปแล้วนางคงจะสวยไม่เบาทีเดียวจึงสามารถมาเป็นตัวเอกในประวัติศาสตร์เรื่องนี้ได้
กล่าวคือ ในสมัยนั้น พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก ประดุจแสงแห่ง พระอาทิตย์ที่สาดส่อง
เลยทำให้เหล่าเดียรถีย์เกิดความร้อนรุ่ม เพราะตัวเอง ขาดลาภสักการะหรือบวกความอิจฉาตาร้อนว่างั้นเหอะ
เลยกลายเป็นแสงหิ่งห้อย เมื่อความอิจฉามากเข้า ก็เลยคิดหาทางเตะตัดขาตามวิสัยคนพาล
ซึ่งเหมือนกัน ทุกยุคทุกสมัย คือ พอตัวเองทำดีเหมือนเขาไม่ได้
ก็ต้องป้ายสีให้ร้ายเขา
อย่ากระนั้นเลยว่าแล้วก็สอดส่ายสายตามองหาตัวช่วย แล้วก็มาสะดุด ที่นางจิญจมาณวิกานี่แหละ
อย่างที่กล่าวไว้เบื้องต้นว่า นางคงสวยน่าชม เอ้า มาดูคุณสมบัตินางสักนิด ว่ากันว่า ในกรุงสาวัตถีนี่ หากเอ่ยถึงนางคนนี้
นึกภาพกันออกเลยหล่ะว่า เป็นปริพาชิกาที่มีรูปโฉม ราวกับนางอัปสร รัศมีหรือออร่า
นี่เปล่งออกมาจากสรีระของนางเลยว่างั้นเหอะ ด้วยคุณสมบัติปานฉะนี้
นางจึงถูกเดียรถีย์เรียกไปร่วมวางแผน เพื่อทำลายพระพุทธองค์ พอวางแผนกันเสร็จสรรพ
ไม่รู้ว่าแถวไหนหล่ะ คงมีเสียงหัวเราะคิกคักๆ ตามประสาพวกคิดเรื่องดีๆไม่ค่อยเป็น จากนั้นนางก็เปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มจากปริพาชิกา
มาเป็นห่มผ้าสีสวย ประพรมของหอม ถือพวงมาลัยไปวัด ทำทีเหมือนกับจะไปฟังธรรม
พอใครถาม ก็บอก จ้างก็ไม่บอก เท่านั้นยังไม่พอ นางยังลงทุนไปอยู่ใกล้วัด
ก็คงเหมือนยุคนี้ ที่ลงทุนจ้างไส้ศึกเข้ามาอยู่ในวัดนั่นหล่ะ
พออยู่ใกล้วัดแล้วทำไง เวลาเช้าก็ ทำเป็นเดินออกมาจากวัดแต่เช้า พอใครถามไปไหนมา
ก็บอก จ้างก็ไม่บอก
ดึกๆดื่นๆ ก็มีคนเห็นในวัด ถามว่ามาทำอะไร ก็บอกว่าจ้างก็ไม่บอก
เวลาผ่านไป เดือนสองเดือน คนก็เห็นแบบนี้ ถามก็ตอบแบบนี้ พอนานเข้า
เห็นว่าได้การหล่ะ พอมีคนถามก็เลยเข้าทาง แหม ถามมากอยากรู้บอกให้ก็ได้
ก็อยู่กุฏิพระพุทธเจ้าแหละ น้าน เอากะหล่อนสิ ตอนนี้คนก็เริ่มสงสัยแล้ว เอ
จริงไม่จริงเนี่ย เริ่มปากต่อปากเล้ว อย่าลืมว่าสมัยนั้นยังไม่มีไลน์
ยังไม่มีทวิตเตอร์ ไม่มีเฟสบุค เรื่องก็เลยอยู่แค่รอบๆวัด พอผ่านไปสามสี่เดือน นางก็เริ่มแผนขั้นต่อมา
คือ เอาผ้ามาผูกที่ท้อง ทำเหมือนมีท้อง
ตอนนี้ก็เริ่มมีการให้พวกคนของตนไปกระจายข่าวบ้างแล้วว่า
นางท้องกับพระพุทธองค์
ข่าวก็เริ่มกระจายไปอีก ตอนนี้คนบางส่วนก็ชักจะเชื่อ บางพวกก็ไม่มาวัดแล้ว พอครบเก้าเดือน
ลงทุนหนักเลย มีการทุบมือเท้าให้บวมเหมือนคนท้อง พอได้ที่ มาเลยคราวนี้
มายืนต่อหน้าพระพุทธเจ้าในขณะที่พระองค์กำลังแสดงธรรม ว่าไงหล่ะ แหมๆ
พระองค์เสียงไพเราะเพราะพริ้งซะจริงนะ แต่ไม่สนใจมาดูแลลูกในท้องเลยนะ เอาหล่ะสิ
คนในศาลาชักใจคอไม่ดีแล้ว เพราะได้ยินได้ฟังมานานพอควร พระพุทธองค์ทรงนิ่ง แล้วตรัสสั้นๆ “สิ่งที่เธอพูดมา
มีเธอกับเราตถาคตที่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง”
เอาหล่ะสิ พอเจอแบบนี้เข้า เลยทำดิ้นไม่พอใจ
ในตำราก็บอกพระอินทร์ให้เทพบุตรแปลงเป็นหนูมากัดผ้าขาด ทำให้คนเห็นทั้งศาลาว่า
ท้องไม่จริงนี่นา ว่าแล้ว เลยโดนญาติโยมขับไล่ คงโดนไปหลายตุ๊บ วิ่งหนีมานอกวัด
จนโดนธรณีสูบนั่นแหละ ใครอยากรู้รายละเอียดก็ไปศึกษาเรื่องนี้ได้ว่า
โทษของการจ้วงจาบ ใส่ร้ายผู้มีศีลเป็นอย่างไร
พอมาถึงตรงนี้คงพอนึกภาพกันออกนะว่า
โซเชียลสำคัญอย่างไร มีผลอย่างไร เพราะสังคมสมัยก่อนเรื่องกระจายมีแค่วงจำกัด
ดังนั้นข่าวสารต่างๆจึงอยู่ในวงแคบ ดังนั้นเรื่องก็ไม่ลุกลามไปไกลมาก
ไม่ออกสู่วงกว้าง ง่ายต่อการจัดการ แต่ ณ วันนี้เรื่องจริงไม่จริงไม่รู้
แต่กระจายไปกันทั่วโลกภายในไม่กี่นาที และก็แปลกที่คนก็พร้อมจะเชื่อ บางคนก็บอก
หากไม่มีมูลหรือไม่จริง เขาคงไม่กล้าพูด
พอได้ยินครั้งแรกก็จะเริ่มสงสัย ได้ยินบ่อยเข้าบ่อยเข้า ก็ชักเอ น่าจะจริง
พอได้ยินทุกวันๆ ใช่ ใช่ จริงแน่ๆ ดังนั้นเมื่อเราได้ยินได้ฟังอะไรมา
ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน เชื่อหรือไม่เชื่อ ให้หาข้อมูลให้ชัดเจนก่อนให้รอบด้าน
ไม่อย่างนั้นจะตกเป็นเครื่องมือของคนพาลได้
สำหรับผมเอง
ก็เอาใจช่วยชาววัดพระธรรมกาย และนับถือน้ำใจที่เขายึดแนวของพระบรมศาสดาคือ ไม่สู้
ไม่หนี แต่ทำความดีเรื่อยไป
แต่อดที่จะสงสารเหล่าเดียรถีย์ไม่ได้ว่า
วันๆจะนอนหลับกันบ้างไหมหนอแม้จะอยู่บ้านสวยๆงามๆ ใจจะมีสุขบ้างไหมหนอ
ใจจะเย็นชุ่มฉ่ำกันบ้างไหมหนอ เพราะวันๆคิดแต่เรื่องร้ายๆที่จะทำลายผู้อื่น
น่าสงสารนะครับ ว่าไหม
Cr.ปรัศนี
อิทธิพลของโซเชียล
Reviewed by asabha072
on
7:14 PM
Rating:
No comments: