กงล้อประวัติศาสตร์
กงล้อประวัติศาสตร์
หลายท่านคงเคยได้ยินคำว่า
กงล้อประวัติศาสตร์ ซึ่งหมายถึง เหตุการณ์
ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ก็มักจะหมุนเวียนมา
เกิดเหตุการณ์ทำนองนั้นอีกซ้ำๆ เพียง
แต่เปลี่ยนช่วงเวลาหรือตัวละครเท่านั้น
เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว
ในสมัยพุทธกาล มีเรื่องราวที่น่าคิดอยู่
หลายเรื่อง
แต่ที่จะขอยกมากล่าวในวันนี้เป็นเรื่องของผู้ที่มีโชค มีโอกาส แต่
ไม่ได้ใช้โอกาสของตนให้เกิดประโยชน์ กลับทิ้งโอกาสอันดีนั้น
ไปสู่
ความตกต่ำของชีวิตเสียอีก
สุนักขัตตะลิจฉวี ไม่ใช่คนธรรมดา
เป็นถึงโอรสของเจ้าลิจฉวีองค์หนึ่ง
แต่ด้วยความที่ในอดีตชาติเคยเป็นนักบวชที่ชอบบำเพ็ญทุกกรกิริยา
จึงมี
นิสัยโน้มเอียงไปทางนั้น
ดังนั้นจึงนับถือพวกนักบวชนอกพระพุทธศาสนา
จนกระทั่งได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงออกบวชเป็นพระภิกษุ แต่แม้
กระนั้นก็ยังชอบการแสดงฤทธิ์
ชอบเรื่องปาฏิหาริย์ เข้ามาเป็นอุปัฏฐาก
พระบรมศาสดาถึง 3 ปี
ก็เพื่ออยากจะดูพระองค์แสดงฤทธิ์ บางครั้งถึงกับ
บอกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
หากไม่แสดงฤทธิ์ให้ดูจะสึก พระองค์ก็บอกจะ
สึกก็สึกไป
ไม่ใช่เรื่องที่พระองค์ต้องทำ
บางครั้งก็จับผิดว่าพระพุทธองค์จะพยากรณ์ผิดหรือไม่
เช่น เมื่อเห็น
ว่าพระองค์พยากรณ์ว่าเดียรถีย์ที่มีวัตรปฏิบัติแบบสุนัขจะตายเพราะกิน
อาหารไม่ย่อย
ก็แอบไปบอกเดียรถีย์นั้น แต่ในที่สุดเมื่อถึงเวลาเดียรถีย์ก็
ตายจริงๆ
ถึงกระนั้นสุนักขัตตะลิจฉวี ก็ยังไม่เชื่อมั่นในพระพุทธองค์
จนกระทั่งวันหนึ่งก็เข้าไปกราบทูลขอเรียนวิชาตาทิพย์
พระองค์
ก็ทรงสอนให้
จนทำตาทิพย์ได้สามารถเห็นเหล่าเทพยดา นางฟ้าได้ แต่
ไม่ได้ยิน จึงมาขอเรียนหูทิพย์
แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงสอนเพราะเห็นว่า
ในอดีตได้ทำกรรมหนัก
ประทุษร้ายผู้มีศีลจนหูหนวก แม้ฝึกอย่างไรก็จะไม่
ได้หูทิพย์
สุนักขัตตะลิจฉวี กลับเข้าใจผิด
คิดว่าพระองค์อิจฉา เกรงว่าตนเอง
จะเกินหน้าเกินตา
กลัวว่าจะมีความสามารถมากกว่า ในที่สุดก็โกรธแค้น
และลาสิกขาไปเข้ากับพวกเดียรถีย์
ตายไปก็ตกนรก เพราะความเป็นมิจฉา
ทิฏฐิ
แม้ในยุคปัจจุบัน
เรื่องทำนองนี้ก็มีให้เห็น คนบางคนมีความรู้ มี
ความสามารถไม่ธรรมดา
เมื่อออกบวช ก็ได้รับการยกย่องจากครู อาจารย์
ส่งเสริม สนับสนุน
ให้ไปเรียนถึงต่างประเทศ แต่ด้วยความที่ไม่เคยอยู่กับ
หมู่คณะตั้งแต่วันที่บวช
ทำให้ทำงานเป็นทีมไม่เป็น เมื่อไปอยู่ต่างประเทศ
ก็คิดว่าคนเขาศรัทธาตัวเอง
ทั้งที่ความจริงเขาศรัทธาอาจารย์ของตน และ
ด้วยความที่ไม่เคยนึกถึงจิตใจผู้อื่น
จึงมักจะแสดงอารมณ์ เกรี้ยวกราด จน
ผู้คนเอือมระอา
เมื่อเรียนจบก็เริ่มมองว่า ใครๆก็มีความรู้ไม่เท่ากับตน จน
กระทั่งเมื่อครูบาอาจารย์ตักเตือนก็โกรธ
ดูถูกว่าครูบาอาจารย์รู้ไม่เท่าตน
ในที่สุดก็เลยออกจากหมู่คณะ
ไปอาศัยอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ไม่นาน มักจะถูก
ขับออกจากหมูคณะนั้นๆ
และด้วยความมักโกรธ บวกความอาฆาตพยาบาท
จึงหาช่องทางให้ร้ายผู้มีคุณต่อตนเสมอ
บางครั้งก็ร่วมมือกับผู้ไม่ปรารถนาดี
ให้ข้อมูลผิดๆ
เพื่อทำให้ครูบาอาจารย์เดือดร้อน ก็ไม่ทราบว่าในบั้นปลาย
ของชีวิตจะเป็นเช่นไร
เรื่องทำนองนี้ก็คงจะเกิดขึ้นอีก ตราบใดที่ยังมีคนที่ไม่รู้คุณคน(เนรคุณ)
เกิดขึ้น
สิ่งที่เราจะต้องตระหนักอยู่เสมอคือ ความเคารพและความกตัญญู
ต้องสร้างจิตสำนึกและคุณธรรมนี้ให้อยู่ในใจ
เหมือนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ท่านมีความกตัญญูต่อพระเดชพระคุณหลวงปู่และคุณยาย
ท่านจึงทุ่มเท
ตอบแทนพระคุณของทั้งสองท่านแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
แม้กงล้อประวัติศาสตร์จะหมุนไปก็ตาม
แต่เราจะต้องเป็นผู้สร้าง
ประวัติศาสตร์อันงดงามให้เกิดขึ้น
เมื่อย้อนระลึกถึงคราใด ให้มีแต่ความ
ปีติ เบิกบาน แช่มชื่น
และอิ่มเอิบด้วยบุญ ให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ชนรุ่นต่อๆไป
Cr.ปรัศนี
กงล้อประวัติศาสตร์
Reviewed by asabha072
on
12:55 AM
Rating:
No comments: