ไม่ไปอบาย...เพราะได้ครูดี
ไม่ไปอบาย...เพราะได้ครูดี
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้องถือว่าเป็นช่วงที่ชาววัดอยู่ในภาวะของความอึดอัด คับข้องใจ จากการถูกกระทำที่ไม่เป็นธรรมจากหลาย ๆ ฝ่าย ผมเองก็เป็นผู้หนึ่งที่แม้จะเข้าวัดมานานแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในช่วงการฝึกตัว ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า จึงมีความรู้สึก มีความเคืองขุ่นอยู่ แต่กระนั้นก็ไม่เคยปล่อยให้ถึงจุดของความโกรธ
ทุกครั้งที่เริ่มจะมีภาวะร้อน ๆ ขึ้นมาในใจ จะมีสิ่งหนึ่งผุดขึ้นมาเสมอ สิ่งนั้นคือ คำสอนของหลวงพ่อทั้งสอง
ย้อนหลังไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ที่วัดพระธรรมกายและหลวงพ่อ ถูกคนพาลกล่าวร้าย โจมตีลงหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเป็นปี ผมเองในขณะนั้น อายุก็ยังน้อย อารมณ์ก็ยังร้อน มีความรู้สึกว่า ชักจะทนไม่ไหว เอาไงก็เอากัน เป็นไงเป็นกัน
จนกระทั่งมีวันหนึ่ง ได้มีโอกาสกราบหลวงพ่อ (พระเทพญาณมหามุนี) เมื่อกราบเสร็จ รีบพูดทันที
"หลวงพ่อครับ ทำไมหลวงพ่อและหมู่คณะอุตส่าห์ตั้งใจทุ่มเท ทำงานกันแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่ทำไม..."
ผมยังพูดไม่ทันจบ หลวงพ่อยกมือขึ้น ยิ้ม ๆ แล้วบอกผมว่า
"อย่าเสียเวลา คิดโน่นนี่ เอาเวลาไปทำงานดีกว่า ตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจเรา แสดงว่าเรายังทำงานไม่เต็มที่ หากเราทำงานได้สมบูรณ์แบบ ทุกคนต้องเข้าใจเรา"
พูดเสร็จท่านก็ลุกขึ้น เตรียมจะกลับไปห้องพัก ผมก็อดไม่ได้ ถามท่านต่อไปอีกว่า
"หลวงพ่อครับ แล้วหลวงพ่อไม่โกรธเขาหรือครับ"
ท่านหันมายิ้มด้วยความเมตตา พร้อมกับคำตอบที่ทำให้ผมเย็นลงจนแทบจะเรียกได้ว่า มันสงบแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ท่านตอบเบา ๆ ว่า
"จะไปโกรธเขาได้อย่างไร เพราะในที่สุด พวกเราก็ต้องขนเขาไปอยู่ดี"
สำหรับหลวงพ่อรองเจ้าอาวาส(หลวงพ่อทัตตชีโว) ก็เช่นกัน ท่านจะมีวิธีสอนให้ ลูกศิษย์อยู่ในกรอบ ในร่องในรอยของโอวาทปาฏิโมกข์ คือ การไม่ว่าร้าย ไม่ทำร้ายใคร ท่านจะสอนอยู่เสมอว่า
"อย่าให้ความชั่วของคนอื่น มาทำให้เราต้องทำความชั่วตามเขา"
ในช่วงที่วัดกำลังถูกโจมตีอยู่นั่นเอง วันหนึ่งมีผู้ชายท่าทางเรียบร้อย อายุน่าจะประมาณไม่เกิน ๔๐ ปี มากราบหลวงพ่ออย่างนอบน้อม หลังจากหลวงพ่อได้ทักทายสอบถามว่าปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอดีหรือไม่ เขานิ่งไปสักพัก แล้วหายใจลึก ๆ เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า
"หลวงพ่อครับ ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้าวัด ผมนั่งสมาธิทุกวันไม่เคยขาด มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่โอกาส ชีวิตของผมเปลี่ยนไปจากดำเป็นขาว ผมทิ้งสิ่งไม่ดีในอาชีพเดิมจนหมด กลับตัวกลับใจได้ ก็เพราะมาพบวัด เพราะคำสอนของหลวงพ่อและพระอาจารย์ที่วัด แต่วันนี้วัดถูกรังแก ผมทนไม่ไหวแล้ว คงต้องกลับไปทำอาชีพเดิม"
ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังเตรียมตัวจะไปเดินตรวจวัด ท่านจึงยืนคุยอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ท่านก็ยิ้ม ๆ แล้วถามเขาว่า
"เมื่อก่อนเอ็งทำอาชีพอะไร"
"มือปืนครับ" ชายคนนั้นตอบเบา ๆ
ผมเองในขณะนั้นกำลังจดบันทึกว่า แต่ละวันใครมากราบหลวงพ่อบ้าง และเขาถามอะไร หลวงพ่อตอบอะไร พอได้ยินคำตอบ แม้เสียงเขาจะเบา ๆ แต่ในความรู้สึกของผม คำตอบนั้นมันดังราวฟ้าร้อง ฟ้าผ่า อึ้งกันไปสักพัก ท่าทีของหลวงพ่อ จากที่ลุกขึ้นยืนจะไปตรวจวัด ท่านรีบนั่งลงแล้วมองเขานิ่ง ๆ จากนั้นท่านก็เริ่มให้ข้อคิด ช้า ๆ ชัด ๆ
"ลูกเอ้ย กว่าเอ็งจะเข้าวัดได้ เอ็งต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวมาเท่าไร ต้องลำบากลำบน หลบ ๆ ซ่อน ๆ มาเท่าไร ณ วันนี้ เอ็งอยู่ในสังคมได้อย่างสบายใจ เข้าวัด ทำสมาธิอย่างสบายใจ เหมือนกับคนที่กระโดดขึ้นมาจากหลุมขี้ แล้วเอ็งจะโดดกลับลงไปเปื้อนขี้อีกหรือว่ะ"
จากนั้นท่านก็ให้โอวาทเขาต่ออีกราวครึ่งชั่วโมง จนดูท่าทีเขานิ่งเหมือนเดิม เขาก้มกราบหลวงพ่อ พร้อมกับกล่าวว่า
"หากวันนี้ผมไม่ได้มากราบหลวงพ่อ ผมก็ไม่รู้ว่าชีวิตผมจะเป็นอย่างไร กราบ ขอบพระคุณหลวงพ่อมากครับ"
แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว แต่ภาพและบทสนทนาของหลวงพ่อกับชายคนนั้น ยังติดตาติดใจผมอยู่ ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นในเช้าวันนี้เอง โดยเฉพาะคำพูดสุดท้ายของชายคนนั้นก่อนที่เขาจะกลับไป
ครับ หลายคนก็คงจะคิดเช่นเดียวกันว่า หากไม่ได้พบวัด ไม่ได้พบหลวงพ่อ ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร ผมเองก็เช่นกันเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็คุมอารมณ์ได้เสมอเพราะคำสอนของหลวงพ่อทั้งสองนั่นเอง
ดีใจ ปลื้มใจเหลือเกินครับ...ที่ได้พบครูดี
ขอขอบคุณภาพจาก dmc.tv
อนาคาริก
07/08/16
ไม่ไปอบาย...เพราะได้ครูดี
Reviewed by asabha072
on
5:33 AM
Rating:
สาธุเจ้าค่ะ
ReplyDeleteสาธุๆสาธุ
ReplyDeleteสาธุ ชื่นชมเจ้าของบทความถ่ายทอดได่ดีจะเอาไปสอนตัวคะหสังว่าจะมีให้อ่านอีก
ReplyDeleteสาธุ ชื่นชมเจ้าของบทความถ่ายทอดได่ดีจะเอาไปสอนตัวคะหสังว่าจะมีให้อ่านอีก
ReplyDeleteเช่นกัน กราบสาธุ เจ้าคะ
ReplyDelete