ดูแล...หรือทำให้อึดอัด ?
ดูแล...หรือทำให้อึดอัด ?
เมื่อวานตะวันบ่าย เป็นโอกาสอันเหมาะสม อาตมาพร้อมกับพระเพื่อนที่เป็นอดีตนายตำรวจ ซึ่งสละทางโลกมาสร้างบารมีด้วยความเคารพ รัก ศรัทธาในปฏิปทาของคุณยาย และหลวงพ่อทั้งสอง ทำให้ท่านหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมแบบไม่เหลียวหลังกลับ หากท่านเอาดีทางโลก ป่านนี้ก็คงเป็นผู้กำกับเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นของท่านไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเดินไปถึงจุดนัดพบ ภาพที่เห็นคือ หญิงวัยกลางคนท่าทางซื่อ ๆ แต่มีแววตาที่ มุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง หลังจากที่ทักทายโอภาปราศัย ก็เข้าเรื่องกันทันที โยมได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่มาร่วมงานบุญที่วัดพระธรรมกายอย่างสม่ำเสมอ ก็เกิดความศรัทธาในหมู่คณะ จึงได้เป็นผู้นำบุญ จัดรถพาญาติพี่น้องมาสู่เส้นทางบุญอย่างสม่ำเสมอ ที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้เอง ไม่ทราบว่าทางการเกิดขยันอะไรไม่ทราบ ส่งคนมีสีไปเฝ้าถึงบ้าน เช้าถึง เย็นถึง ไปสอบถามโน่นนั่นนี่ บางครั้งก็สั่งว่าหากจะเดินทางมาร่วมงานต้องจดทะเบียนรถ และเมื่อมาถึงวัดก็ให้ถ่ายรูปคนที่มาวัดด้วย โยมเล่าต่อไปว่า มีอยู่สองสามครั้งที่แอบมาแล้วไม่บอก พอกลับไปก็จะถูกซักถามว่าทำไมไม่รายงานก่อนไป หากครั้งต่อไปทำอย่างนี้จะไม่อนุญาตให้ไปอีกแล้ว
อาตมาฟังไปก็ไม่สบายใจแทนโยม เกรงว่าจะเกิดความหวาดกลัว ท้อแท้ จะไม่กล้ามาวัดอีก แต่ที่ไหนได้ กำลังจะถามว่าโยมกลัวไหม ราวกับแกจะรู้ใจ รีบตอบก่อนเลย
“ โยมไม่กลัวหรอกนะท่าน หากกลัวป่านนี้คงไม่มาแล้ว ทำแบบนี้โยมรำคาญ โยมไม่ชอบ ”
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ เพื่อจะบอกให้ทราบว่า ขณะนี้ที่บ้านเมืองของเรามีการกระทำที่แปลก ๆ เจ้าหน้าที่แทนที่จะไปประจำการตามหน้าที่ กลับไปเฝ้าอยู่ที่บ้านโยม จนเขารู้สึกอึดอัด เพราะขนาดรีดผ้า ยังไปนั่งเฝ้า ไม่เข้าใจว่าเราเสียภาษีมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่เอาเวลามาทำอย่างนี้หรือ หากว่างมากทำไมไม่ไปจับโจรใต้ หรือไปตรวจจับผู้ร้ายหรือมองว่าการที่ญาติโยมมาวัด มาทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เป็นภัยต่อความมั่นคง ดังที่มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางท่านกล่าวไว้
หรือว่าอาจเป็นเพราะอาตมาไปอยู่ต่างประเทศนานเกินไป จึงไม่เข้าใจว่าระบบที่ทำอยู่นี้แท้จริงแล้วคือ
วิธีการดูแลประชาชนของรัฐบาลยุคนี้
เมื่อเดินไปถึงจุดนัดพบ ภาพที่เห็นคือ หญิงวัยกลางคนท่าทางซื่อ ๆ แต่มีแววตาที่ มุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง หลังจากที่ทักทายโอภาปราศัย ก็เข้าเรื่องกันทันที โยมได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่มาร่วมงานบุญที่วัดพระธรรมกายอย่างสม่ำเสมอ ก็เกิดความศรัทธาในหมู่คณะ จึงได้เป็นผู้นำบุญ จัดรถพาญาติพี่น้องมาสู่เส้นทางบุญอย่างสม่ำเสมอ ที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้เอง ไม่ทราบว่าทางการเกิดขยันอะไรไม่ทราบ ส่งคนมีสีไปเฝ้าถึงบ้าน เช้าถึง เย็นถึง ไปสอบถามโน่นนั่นนี่ บางครั้งก็สั่งว่าหากจะเดินทางมาร่วมงานต้องจดทะเบียนรถ และเมื่อมาถึงวัดก็ให้ถ่ายรูปคนที่มาวัดด้วย โยมเล่าต่อไปว่า มีอยู่สองสามครั้งที่แอบมาแล้วไม่บอก พอกลับไปก็จะถูกซักถามว่าทำไมไม่รายงานก่อนไป หากครั้งต่อไปทำอย่างนี้จะไม่อนุญาตให้ไปอีกแล้ว
อาตมาฟังไปก็ไม่สบายใจแทนโยม เกรงว่าจะเกิดความหวาดกลัว ท้อแท้ จะไม่กล้ามาวัดอีก แต่ที่ไหนได้ กำลังจะถามว่าโยมกลัวไหม ราวกับแกจะรู้ใจ รีบตอบก่อนเลย
“ โยมไม่กลัวหรอกนะท่าน หากกลัวป่านนี้คงไม่มาแล้ว ทำแบบนี้โยมรำคาญ โยมไม่ชอบ ”
อยู่ไหน...ตะเอง? |
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น โยมก็บอกว่า คนมีสีไลน์มาหาด้วย แต่โยมยังไม่อยากอ่าน กลัวว่าเขาจะถามโน่นนี่ อาตมาเลยบอกว่า อ่านเลย ก็ปรากฏว่าเป็นการสอบถามว่า อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร เลยให้โยมตอบไปว่า กำลังให้ข้อมูลเพื่อติดต่อกับทนาย เนื่องจากการ กระทำอย่างนี้มันละเมิดสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔ ว่าด้วยสิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค อีกทั้งยังละเมิดปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ข้อ ๗ ข้อ ๑๒ ข้อ ๑๘ ข้อ ๑๙ ข้อ ๒๐ ( ไม่ขอกล่าวรายละเอียดในที่นี้ แต่ทั้งหมดก็เกี่ยวข้อง กับสิทธิเสรีภาพ ในความเป็นอยู่ และการร่วมกิจกรรมตามความเชื่อที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ) หลังจากตอบไปอย่างนั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็เงียบไป หลวงพี่อดีตนายตำรวจก็ได้ให้คำแนะนำและข้อปฏิบัติกับโยมไป พร้อมทั้งให้กำลังใจในการสร้างบารมี หากมีข้อมูลอะไรก็ขอให้บอกมา เนื่องจากทางหลวงพี่ทั้งสองได้เตรียมทีมทนายไว้ช่วยเหลือญาติโยมที่ถูกคุกคามด้านเสรีภาพอย่างนี้
วันนี้อาตมาก็ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้เปลี่ยนคนที่เคยเข้ามาประจำเป็นชุดใหม่ และมากันถึง ๔ คน มาถึงก็มาขอดูบัตรประชาชน จึงได้บอกให้โยมถ่ายภาพส่งมาให้ และได้ให้คำแนะนำไป(วันหน้าหากมาอีก คงได้เอาภาพจริงมาให้ดูกัน)
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ เพื่อจะบอกให้ทราบว่า ขณะนี้ที่บ้านเมืองของเรามีการกระทำที่แปลก ๆ เจ้าหน้าที่แทนที่จะไปประจำการตามหน้าที่ กลับไปเฝ้าอยู่ที่บ้านโยม จนเขารู้สึกอึดอัด เพราะขนาดรีดผ้า ยังไปนั่งเฝ้า ไม่เข้าใจว่าเราเสียภาษีมาเพื่อให้เจ้าหน้าที่เอาเวลามาทำอย่างนี้หรือ หากว่างมากทำไมไม่ไปจับโจรใต้ หรือไปตรวจจับผู้ร้ายหรือมองว่าการที่ญาติโยมมาวัด มาทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เป็นภัยต่อความมั่นคง ดังที่มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางท่านกล่าวไว้
หรือว่าอาจเป็นเพราะอาตมาไปอยู่ต่างประเทศนานเกินไป จึงไม่เข้าใจว่าระบบที่ทำอยู่นี้แท้จริงแล้วคือ
วิธีการดูแลประชาชนของรัฐบาลยุคนี้
ขอขอบคุณภาพจาก dmc.tv และ google.com
อาสภกันโต ภิกขุ
๑๔ ก.ค. ๕๙
ดูแล...หรือทำให้อึดอัด ?
Reviewed by asabha072
on
6:35 AM
Rating:
เขาเรียกว่า "คืนความสุข" ครับท่าน...
ReplyDeleteพอวันศุกร์ที เด็กร้องไห้เลย เอาความสุขคืนมา ฮ่า ๆๆ
Deleteผมเข้าใจความรู้สึกของเรา เหล่ากัลยาณมิตรดีครับ. ผมก็มีน้องภรรยาเป็นนายตำรวจระดับรองผู้การ. ทราบถึงความเป็นไปของวงการตำรวจมากมาย. ผมก็ได้แต่ทำใจ และรักษาใจตนเอง ให้ผ่องใส สวดมนต์ นั่งแผ่เมตตา ตามที่หลวงพ่อและคณะสงฆ์อบรมสั่งสอนตลอดมาครับ. ก็ได้แต่อธิษฐาน ขอคุณพระศรีรัตนตรัย โปรดดลจิตดลใจให้ผู้ปกครองบ้านเมืองของเรา. คิดถูกเห็นถูก ทำสิ่งที่ถูกต้องให้กับประเทศชาติ พระศาสนาครับ
ReplyDelete..
ReplyDelete..กราบอนุโมทนาสาธุการกับพระอาจารย์ครับ..
..เป็นกำลังใจ.ให้กัลยาณมิตรทุกๆท่านครับ..
..
..สัญญาณแบบนี้.แสดงว่า..
..เราเดินมาถูกทางแล้วครับ..
..ได้บารมีกันเต็มที่.คุ้มครับ..
..ภารกิจปกป้องพระพุทธศาสนา..
..
..คนพาล.กลัวการรวมตัวของคนดีครับ..
..
นี่เป็นบทเรียนที่มีราคาแพงมาก 2 ปีที่ผ่านมา ศาสนาพุทธถูกย่ำยีมากที่สุด ที่เคยมีมาในชาติเรา แต่อีกศาสนากลับรุ่งเรืองอย่างมากเทียบกันไม่ได้ ยังจำเพลงในรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน ที่หลวงพ่อเปิด ตาอินและตาอยู่มัวแต่ทะเลาะกัน ตานา มาจากไหนไม่รู้คว้าชิ้นปลามันไป
ReplyDelete