หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๑๑๖) อย่าเอาใจของคนพาล มาตัดสินใจของบัณฑิต



หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๑๑๖) 
อย่าเอาใจของคนพาล มาตัดสินใจของบัณฑิต

    เมื่อได้เห็นข้อความที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์บางฉบับว่า “หมอมโนแฉพระธัมมชโย จิตใจบอบช้ำ ร่างกายอ่อนแรง หลังถูกถอดสมณศักดิ์” 

    ทำให้อาตมานึกถึงประโยคหนึ่งที่มีผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่า “อย่าเอาใจของคนพาล มาตัดสินใจของบัณฑิต”


    ทำไมจึงกล่าวอย่างนั้น? ก็เพราะว่าขึ้นชื่อว่าใจของคนพาลนั้น คิดได้อยู่อย่างเดียวคือ คิดชั่ว เนื่องจากมีใจที่ขุ่นมัว มืดดำ อยู่ตลอดเวลา จึงคิดไปว่า ใจของคนอื่นก็เป็นเช่นเดียวกับใจของตน


    หากใครที่เป็นพระวัดพระธรรมกายตัวจริง(ไม่ใช่ประเภทแอบอ้าง)จะไม่มีวันพูดประโยคเบื้องต้นนั้นเด็ดขาด เพราะพวกเราถูกปลูกฝังกันมารุ่นต่อรุ่นในเรื่องสมณศักดิ์ว่า “หากผู้ใหญ่ท่านเมตตาให้มา ก็รับไว้เพื่อเอามาทำงาน แต่จะไม่ดิ้นรนแสวงหาด้วยความทะยานอยาก”



    เมื่อครั้งที่อาตมาบวชใหม่ ๆ จะไม่ค่อยได้พบหลวงพ่อธัมมชโย เวลาเห็นก็เห็นเดือนละครั้ง ในวันบุญพิธีบูชาข้าวพระในวันอาทิตย์ต้นเดือน ซึ่งอาตมาเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้ จึงได้กราบเรียนถามหลวงพ่อทัตตชีโว ซึ่งหลวงพ่อได้เมตตาแก้ความสงสัยว่า “ที่เป็นอย่างนั้นเพราะหลวงพ่อธัมมะท่านรักการปฏิบัติธรรม ท่านต้องการใช้เวลากับการปฏิบัติให้มากที่สุดเพื่อจะได้เอาบุญมาดูแลหมู่คณะได้และอีกประการคือ หลวงพ่อท่านต้องการให้คนรู้จักวัดพระธรรมกาย ไม่ใช่ให้รู้จักเจ้าอาวาส เพราะท่านเห็นตัวอย่างหลาย ๆ วัด ที่มีคนไปมากในช่วงที่เจ้าอาวาสยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อเจ้าอาวาสเดิมมรณภาพไป คนก็หาย กลายเป็นวัดร้าง ท่านไม่ต้องการให้วัดพระธรรมกายเป็นอย่างนั้น”


    ต่อมาเมื่ออาตมาได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อธัมมชโยเป็นเวลาถึง ๑ ปีเต็ม จึงได้เห็น ได้เข้าใจว่า หลวงพ่อท่านให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมหรือการนั่งธรรมะเท่านั้น (ซึ่งเรื่องนี้ “อดีตคนเคยอยู่วัด” คงไม่เข้าใจ เพราะมีบางช่วงที่หลวงพ่อให้เขาไปนั่งธรรมะ ก็จะไม่ค่อยนั่ง พอคนอื่นหลับตาก็จะแอบลุกไปเดินเที่ยว ใจเลยไม่เคยใสเลยสักครั้ง)


    สิ่งที่หลวงพ่อได้ตอกย้ำหมู่คณะตลอดเวลาคือ “ในการปฏิบัติธรรมจะให้ใจบริสุทธิ์นั้น จะต้องไม่อยากเด่น ไม่อยากดัง ไม่ติดในคำชมไม่ติดในลาภ สักการะ...” ซึ่งเรื่องนี้ก็เช่นกัน พวกเราล้วนแต่ยึดมั่นในคำสอนของหลวงพ่อ มีแต่ “เขา” ที่ทนฟังหลวงพ่อชมคนอื่นไม่ได้ หากรู้ว่าใครที่เก่งกว่า มีความรู้ความสามารถมากกว่า ก็จะหาทางใส่ความ แม้แต่พระรุ่นน้องก็ไม่เว้น จนทำให้พระอาจารย์บางรูปต้องไปเรียนที่ต่างประเทศจากการถูกใส่ร้าย แต่กลับกลายเป็นผลดีต่อวัด เพราะท่านไปเรียนด้วย เผยแผ่ด้วย จนทำให้เกิดวัดสาขาเพิ่มขึ้นมาอีกหลายวัด แถมวิทยานิพนธ์ที่ท่านทำ ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัย เป็นที่ชื่นชมของครูบาอาจารย์อีกด้วย เลยยิ่งทำให้อดีตคนเคยอยู่วัด แค้นแทบกระอักเลือด เพราะตนเองไม่เคยมีผลงานอะไรออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม


    นอกจากจะไม่มีผลงานแล้ว หลังจากที่หลวงพ่อทัตตชีโวได้พาหมู่คณะซื้อวัดพุทธเมย์วูด “อดีตคนเคยอยู่วัด”ซึ่งตอนนั้นยังไม่ลาสิกขาแต่ได้ออกจากวัดไปแล้ว ยังกล้ามาถามหาเอกสารการก่อตั้งองค์กรกับอาตมาเพื่อจะเอาไปสร้างเครดิตให้กับตัวเอง เพราะคิดว่าตนเองต้องมีชื่อในชุดผู้ก่อตั้ง แต่เมื่ออาตมาได้ดูเอกสารแล้ว ดูไม่รู้กี่รอบ ก็หาได้มีชื่อของเขาไม่ มีแต่ชื่อของญาติโยมรุ่นบุกเบิกที่เป็นคณะกรรมการ เลยเกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับไป(ก็ไม่เคยไปช่วยเขาหาปัจจัย มีแต่ใช้อย่างเดียว จะให้เขาใส่ชื่อเป็นกรรมการได้อย่างไร)


    ประเด็นสำคัญที่สุดที่ “อดีตคนเคยอยู่วัด” คงไม่มีวันเข้าใจคือ หลวงพ่อทั้งสองนอกจากจะสอนให้พระลูกชายในองค์กรมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน มีเป้าหมายของการบวชอย่างชัดแจ้งแล้ว ท่านยังทำตัวให้เป็นต้นแบบในทุกด้าน จึงทำให้พระวัดพระธรรมกายมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งล่าสุดก็มีจำนวนกว่า ๒,๐๐๐ รูปแล้ว

    อาตมาเป็นเพียงแค่พระธรรมดา ๆ รูปหนึ่งในวัดพระธรรมกาย ยังไม่เคยจะสนใจกับตำแหน่งหรือยศศักดิ์ นับประสาอะไรกับครูบาอาจารย์ของอาตมาที่ฝึกตัวมาดีกว่าอาตมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า จะมาหวั่นไหวกับเรื่องเหล่านี้


    โดยเฉพาะหลวงพ่อทัตตชีโว จะคอยสอนเสมอว่า “จะมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง เราก็ทำงานของเราไป ทำไปให้เต็มที่ ทำแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพราะเราเกิดมาสร้างบารมี”



อาสภกันโต ภิกขุ
๑๐ มิ.ย. ๖๑

หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๑๑๖) อย่าเอาใจของคนพาล มาตัดสินใจของบัณฑิต หลวงพ่อสอนอะไร(ตอนที่ ๑๑๖)  อย่าเอาใจของคนพาล มาตัดสินใจของบัณฑิต Reviewed by asabha072 on 9:12 PM Rating: 5

14 comments:

  1. ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ นี่เอง อยากให้ไอ้หมอหัวกลมได้อ่านจุงเบย

    ReplyDelete
  2. คนเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญและสร้างบารมี หาใช่เพื่อยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆไม่ กราบอนุโมทนาบุญกับพระอาจารย์ที่นำคำสอนของหลวงพ่อคุณครูไม่เล็กมาเล่าให้ฟังเพื่อเตือนสติให้แก่พวกเราอยู่เสมอ กราบสาธุๆๆเจ้าค่ะ

    ReplyDelete
  3. สาธุค่ะ ^_^ ใช่เลย...

    ReplyDelete
  4. กราบขอบพระคุณพระอาจารย์ที่เมตตาให้ข้อคิดจากเหตูการณ์จริงๆที่เคยเกิดขึ้น เพื่อสอนใจคนอ่านให้สำนึกในหน้าที่ที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์ สาธุ

    ReplyDelete
  5. กราบนมัสการและอนุโมทนาสาธุเจ้าค่ะ
    ที่เมตตาให้ข้อคิดมุมมองดีๆเจ้าค่ะ

    ReplyDelete
  6. สาธุๆๆๆ คนพาลมักคิดตรงข้ามจากบัณฑิตเสมอ

    ReplyDelete
  7. สาธุๆๆๆ คนพาลมักคิดตรงข้ามจากบัณฑิตเสมอ

    ReplyDelete
  8. อย่าเอาใจของคนพาล มาตัดสินใจของบัณฑิต

    ReplyDelete
  9. สาธุค่ะ รู้สึกมีบุญมากที่เป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย

    ReplyDelete
  10. อนุโมทนาสาธุค่ะ คิดดี พูดดี ทำดี ฝึกนิสัยที่ดีดีติดตัวไปทุกภพทุกชาติ อย่าได้คบคนพาลให้มีความคิดที่ไม่ดีเลย

    ReplyDelete
  11. คนอย่างนายมโนคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว อยู่ตลอดเวลาครับ เรามาคอยดูจุดจบของมันดีกว่าว่าจะสาหัสขนาดไหน

    ReplyDelete
  12. ครูบาอาจารย์ดี แต่ไม่รู้คุณ ไม่มีทางเจริญ

    ReplyDelete
  13. สาธุๆ สาธุครับ
    ความดีชนะทุกสิ่ง ความจริงชนะทุกอย่าง

    ReplyDelete
  14. 🙏กราบอนุโมทนา 🙏สาธุเจ้าค่ะ🙏 สื่อชอบเรียกมโน มามโนออกอากาศตลอดดด รู้แล้วก็ยังไม่เลิกอีก นะ

    ReplyDelete

Powered by Blogger.